โค้งสุดท้ายอสังหาฯปี 67 ยังคงวิกฤติ
อสังหาฯปี 2567
ยังเจ็บหนัก
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในไตรมาส 4 ปี 2567 ยังคงเผชิญความท้าทายเรื่องยอดขายและยอดโอน
โดยยังไม่ฟื้นตัวจากปัญหาหลายด้าน เช่น การปฏิเสธสินเชื่อ ดอกเบี้ยที่สูง น้ำท่วม
และเงินบาทที่แข็งค่า คาดการณ์ว่าภาพรวมในปี 2567
ตลาดจะติดลบถึง 20%
ซึ่งถือว่าเป็นการติดลบสูงสุดในรอบ 10 ปี
ถึงแม้ว่าไตรมาส 4 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น
โดยมีคอนโดมิเนียมที่กำลังสร้างเสร็จถึง 86,052 ล้านบาท
ในไตรมาสแรก สร้างเสร็จใหม่มูลค่า 35,686 ล้านบาท ไตรมาส
2 มูลค่า 20,778 ล้านบาท
และไตรมาส 3 มูลค่า 33,235 ล้านบาท
แนวทางการช่วยเหลือ
การลดดอกเบี้ยเป็นสิ่งสำคัญในขณะนี้ เพื่อช่วยลดภาระให้กับลูกค้าสินเชื่อ ลูกค้าสินเชื่อใหม่ควรได้รับแพ็กเกจสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยต่ำ ส่วนลูกค้าที่กำลังผ่อนชำระ หากดำเนินการลดดอกเบี้ย จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ลดลง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะช่วยบรรเทาภาระสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระ โดยเฉพาะกลุ่ม K-Shaped ที่มีปัญหาด้านค่าดอกเบี้ย การลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จะช่วยลดภาระค่าผ่อนสำหรับกลุ่มนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
การลดดอกเบี้ยมีผลทำให้เงินบาทไม่แข็งค่า
นอกจากนี้ยังดึงดูดลูกค้าต่างชาติให้ซื้่อและรับโอนคอนโดมิเนียมได้เร็วขึ้น
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังต้องผ่อนปรนมาตรการควบคุมสินเชื่อ LTV (Loan to Value) ที่กำหนดให้มีเงินดาวน์ 20-30% ในการขอสินเชื่อบ้านหลังที่ 2-3 เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี
เพื่อกระตุ้นให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แนวโน้มตลาดอสังหาฯ
ปี 2568
สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร มองแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ในปี
2568 ว่าจะเป็นบวก จากปี 2567 ที่ตลาดถึงจุดต่ำสุด
เขากล่าวว่ารัฐบาลควรสร้าง Game Changer โดยการเร่งลงทุนในระบบรถไฟฟ้าในภาคอีสาน, ภาคเหนือ และภาคใต้ รวมถึงรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
การลงทุนนี้จะกระตุ้นการขยายตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด
ส่งผลต่อรายได้หลักในตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน 60% ขณะที่ต่างจังหวัดมี 35% ในอนาคต
สัดส่วนดังกล่าวอาจเปลี่ยนไป ต่างจังหวัดอาจมีสัดส่วนมากกว่ากรุงเทพฯ
และปริมณฑลได้
แนวโน้มในปี 2568 ภาคอสังหาริมทรัพย์อาจฟื้นตัวได้บ้าง
แต่ยังต้องติดตามปัจจัยสำคัญหลายประการ
การปรับขึ้นค่าแรงและค่าวัสดุก่อสร้างจะมีผลต่อการฟื้นตัว นอกจากนี้
ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและการขนส่ง
ซึ่งต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด