AREA เสนอมาตรการคุมเข้มต่างชาติซื้ออสังหาฯ

 

รายงานข้อมูลจาก AERA

นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์สและนายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์สากล (FIABCI-Thai) ได้มีการสรุปข้อเสนอแนะถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อออกมาตรการที่รัดกุม

 

มีการแนะนำให้กำหนดราคาขั้นต่ำในการซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับคนต่างชาติที่มีถิ่นพำนักในไทย เพื่อป้องกันไม่ให้ต่างชาติมาแย่งบ้านคนไทย โดยกลุ่มที่เสนอแนะเห็นว่าควรตั้งราคาขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 5 ล้านบาท ขณะที่ 25% ควรตั้งไว้ที่ 10 ล้านบาท และ 28% สำหรับที่ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป โดยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ อย่างมาเลเซียที่กำหนดไว้ที่ประมาณ 15 ล้านบาท และอินโดนีเซียที่ประมาณ 10 ล้านบาท

 

การปกป้องผลประโยชน์จากการถือครองชาวต่างชาติ

ประเทศไทยยังคงเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้เป็นเวลานาน แต่ทางการไทยควรมีการปรับปรุงระบบภาษีให้เหมาะสมเพื่อให้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์สามารถนำไปพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การขายอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติจะต้องรอให้มีการถือครองเกิน 3 ปี เพื่อป้องกันการเก็งกำไร

 

และยังมีการตั้งหน่วยงานระดับกองบังคับการเพื่อตรวจสอบการซื้อและการอยู่อาศัยของชาวต่างชาติในประเทศไทยอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ กรณีการเช่าที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมและการเกษตร โดยเฉพาะสัญญาเช่า 50 ปี กับ 99 ปีนั้น ถือว่าสูงเกินไป

 

ข้อเสนอแนะการเก็บภาษีต่างชาติ

กรณีที่ชาวต่างชาติซื้อตึกหรือสถานประกอบการนั้น มีการแนะนำให้มีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราเฉลี่ยที่ 1.44% ของราคาตลาด ซึ่งสูงกว่าการเก็บภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยที่อยู่ที่ 1.16% โดยมีค่ากลางหรือมัธยฐานอยู่ที่ 1.4% โดยรัฐเห็นว่าการเก็บภาษีจากการลงทุนในธุรกิจมีความเหมาะสมกว่า เนื่องจากสามารถนำทรัพย์สินดังกล่าวไปสร้างประโยชน์ทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

 

ในการโอนมรดกสำหรับคนต่างชาติ พบว่าควรมีอัตราภาษีตามราคาตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 12.59% ซึ่งถือว่าต่ำ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย การเก็บภาษีมรดกจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีมรดกเกิน 100 ล้านบาทตามราคาประเมินราชการ ที่สำคัญคือ หากมีการโอนให้ทายาทปีละ 20 ล้านบาท ในหลายปี ก็จะไม่ต้องเสียภาษีใดๆ แต่ในกรณีที่คนไทยซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศจะแตกต่างออกไป เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น ต้องเผชิญกับภาษีกองมรดกสูงถึง 55% ของกองมรดกที่เกิน 150 ล้านบาทตามราคาตลาด ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการวางแผนภาษีมรดกระหว่างประเทศ

 

บทสรุป

               แผนการกระตุ้นการซื้ออสังหาฯในไทยของชาวต่างชาติ เป็นมาตรการที่ท้าทายและเปรียบเสมือนดาบสองคม หากมาตรการที่ออกมาไม่รัดกุมอาจสร้างผลเสียแก่ประชาชนชาวไทย มากกว่าจะได้ผลดีทางเศรษฐกิจเสียมากกว่า ดังนั้นหากสามารถปฏิบัติตามข้อเสนอแนะข้างต้นได้ ก็จะช่วยสร้างความรัดกุมในการออกมาตรการ และเสริมความเป็นระเบียบการซื้ออสังหาฯชาวต่างชาติได้อีกด้วย